
โดย บริษัท เอเวอร์มอร์ จำกัด
จึงออกแบบขนมของเรา ให้เปี่ยมด้วยจินตนาการ ทั้งอร่อย สนุก เสริมความคิด สร้างแรงบันดาลใจ


วันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา เพลย์มอร์ ได้ร่วมออกบูธนำลูกอมเพลย์มอร์และเหล่ากัมมี่แสนอร่อย
ไปร่วมให้กำลังใจน้องๆ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
ในงาน BA Innovation DNA ณ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ถ.แจ้งวัฒนะ 🤓
งานนี้น้องแตงโมมาสคอทตัวแทนของชาวเพลย์มอร์ถึงกับเป็นปลื้ม
เพราะนอกจากจะได้รับการต้อนรับอย่างดีแล้ว น้อง ๆ ซึ่งเคยฝึกงานในร้าน 7-Eleven กันถ้วนหน้า
ยังมากระซิบบอกด้วยว่า “ลูกอมแตงโมเพลย์มอร์ เป็นสินค้าขายดีที่สุดใน 7-Eleven ตัวจริง” 🎉
เพลย์มอร์ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยดีเสมอมา …
ส่วนครั้งหน้าเราจะไปออกบูธที่ไหนอีกต้องรอติดตามได้เลย !
“เพลย์มอร์ อยากสนุกเท่าไหนเพลย์มอร์เท่านั้น “
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา พี่ๆ นักเดินป่า ตัวแทนพี่แตงโมใจดีได้เดินทางไปมอบความสุขให้เด็กๆ 😊🌳
กับโครงการ “สานฝันปันน้ำใจสู่น้องๆครั้งที่ 10” ณ ศศช.บ้านโอโลคีบน ต.สบโขง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
ซึ่งเป็นที่ในหุบเขาทุรกันดาร ห่างไกลจากตัวอำเภอกว่า 70 กิโลเมตร
งานนี้อิ่มใจทั้งผู้ให้และผู้รับ เด็กๆ ยิ้มหวานทานกัมมี่เพลย์มอร์แสนอร่อยกันหนุบหนับ
เป็นภาพที่แสนน่ารัก น่าประทับใจ … ขอบคุณเหล่าพี่ๆ อาสาที่นำภาพลงมาให้เราได้บอกเล่าความอิ่มใจในครั้งนี้ด้วยน้า 😊
“เพลย์มอร์อยากสนุกเท่าไหน เพลย์มอร์เท่านั้น”






ลูกอม “Playmore” คือ 1 ในกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการเข้ามาสร้างความฮือฮาให้กับตลาดลูกอมมูลค่าเกือบ 9,000 ล้านบาท ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งเป็นอีกบทเรียนการตลาดที่น่าสนใจของการเข้ามาแจ้งเกิดในตลาดที่ถูกแวดล้อมไปด้วยผู้เล่นรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นมอนเดลีซ เจ้าของแบรนด์ดังอย่างฮอลล์ และคลอเร็ท หรือแม้แต่ผู้เล่นจากฟิลิปปินส์อย่าง “แจ็ค แอนด์ จิลล์” แต่ผู้ประกอบการที่ถูกขนานนามว่า “แจ็ค” รายนี้ กลับสามารถแจ้งเกิดได้อย่างน่าภาคภูมิใจ จนกลายเป็นอีกแรงบันดาลใจให้กับบรรดาเอสเอ็มอีของบ้านเราที่หากมีการวางกลยุทธ์ดีๆ ก็สามารถสร้างที่ยืนในตลาดได้อย่างมั่นคง เหมือนกับที่ Playmore พิสูจน์ให้เห็นแล้วกับการทำตลาดในช่วงที่ผ่านมา
เริ่มจาก “ความแตกต่าง” นำไปสู่การต่อยอดทางการตลาด
หากมองเข้ามาที่ภาพรวมของตลาดลูกอมในบ้านเราแล้ว พบว่า ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอย่างมอนเดลีซ ต่างวางตำแหน่งแบรนด์ลูกอมในพอร์ตด้วยการใช้ Functional Benefit เข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อน โดยลูกอมฮอลล์จะมีจุดขายที่ถือเป็นจุดแข็งของลูกอมแบรนด์นี้คือเรื่องของการช่วยให้ชุ่มคอ เช่นเดียวกับคลอเร็ท ที่พูดถึงเรื่องของการสร้างลมหายใจสดชื่นมาตลอด
ขณะที่ลูกอมของค่ายแจ็ค แอนด์ จิลล์ ส่วนใหญ่จะจับกลุ่มเด็ก และวัยรุ่น ที่ส่วนหนึ่งจะมีฐานของลูกค้าอยู่ในต่างจังหวัด
การเข้าตลาดของ Playmore จึงมีจุดเริ่มต้นที่เรื่องของความแตกต่าง โดยวิธิดา วงศ์สุดาลักษณ์ Co-Founder and Managing Director บริษัท Evermore จำกัด เจ้าของแบรนด์ Playmore บอกกับเราว่า Playmoreไม่ได้แบ่งกลุ่มลูกค้าของเราตามอายุ แต่แบ่งตามพฤติกรรมและ Lifestyle โดยเน้น Insight ของผู้บริโภค เพราะPlaymore เชื่อว่า ความสนุกเป็น Need ของทุกเพศทุกวัย ทุกคนจะมีมุมสนุกๆ ซ่อนอยู่ แต่อาจบดบังไว้ด้วยฐานะ หน้าที่การงานหรืออื่นๆ
“ดังนั้นนอกจากความอร่อย ขนมของ Playmore จึงสะท้อนความสนุก จินตนาการ เป็นตัวแทนของคนที่มั่นใจ กล้าเป็นตัวของตัวเอง ทำให้สินค้าของเราเป็นของทุกคน ไม่ว่าเด็ก นักศึกษา วัยเริ่มต้นทำงาน นักธุรกิจ หรือไม่ว่าคุณจะเป็นสายแดนซ์ เด็กเนิร์ด ครีเอทีฟ เซลส์แมน หรือนักเดินทาง Lifestyle แบบไหนก็สามารถหยิบขึ้นมาได้”
ผลที่ตามมาคือเราเห็นกระแสต่อยอดความคิดสร้างสรรค์การกินขนมในโซเชียลเป็นไวรัลอยู่บ่อยๆ เช่น เพลย์มอร์ลูกอมรสแตงโมเพลย์มอร์กัมมี่รูปสัตว์หางยาว และเพลย์มอร์กัมมี่บล็อกทั้งหมดนี้ได้กลายเป็น Concept ของแบรนด์ที่ว่า “Playmore : Infinite Fun and Imagination” เพลย์มอร์ : ความสนุกผสานจินตนาการอันไร้ขอบเขต
การวางคอนเซ็ปต์ในรูปแบบดังกล่าว สามารถนำไปต่อยอดสู่การทำตลาดบนโลกของโซเชียลมีเดียได้เป็นอย่างดี ซึ่ง จักษ์ ลีละเทพาวรรณ Co-Founder and Managing Director บริษัท Evermore จำกัด บอกว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับ Playmore มาจากปัจจัยหลักคือการให้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง โดยให้น้ำหนักกับความสนใจและสิ่งที่พวกเขาเชื่อ และออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างประสบการณ์แตกต่างจากขนมทั่วไปด้วยการพิถีพิถันตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก จนถึง Texture ที่สร้างรสสัมผัส สี กลิ่น ของตัวผลิตภัณฑ์ ตัวอย่าง เช่น ขวดลูกอมแตงโมของเพลย์มอร์จะมีทรงสาม เหลี่ยมขนาดเหมาะมือ ความเย็นของลูกอมแตงโมจะเป็นความเย็นที่ไม่เหมือนกับลูกอมเมนทอลทั่วไป มีรส กลิ่น และความเย็นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนกัมมี่ที่ทั่วไปจะเป็นรูปแบบด้านเดียว ทรงกลมบ้าง เหลี่ยมบ้าง รูปสัตว์บ้าง ฯลฯ ก็จะเห็นแค่ด้านเดียว ขณะที่กัมมี่ของเราจะสวยงามทุกมิติใช้รูปแบบ 3D มองได้ 360 องศา ยกตัวอย่างกัมมี่ Lemon Lime ที่เป็นทรงกระป๋อง 3D ที่นอกจากจะตั้งได้เหมือนกระป๋องจริงๆ แล้ว ยังมีลวดลายบนผิวเนื้อของเยลลี่ แถมมีไส้ด้านในอีกด้วย
“ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการสื่อสารแบบจริงใจ Playmore มองผู้บริโภคเป็นเพื่อน เหมือนคนในครอบครัว เพจของเราพร้อมตอบคำถามตรงไปตรงมา เช่น ถามมาว่าเยลลี่ของเราเป็นเจลาตินจากอะไรเรากล้าที่จะสื่อสารว่า เป็นเจลาตินจากหมู เพราะเราคิดแล้วว่ามีความปลอดภัยจากโรควัวบ้ามากกว่าการใช้เจลาตินจากวัว หรือการใส่ข้อความ เด็กควรบริโภคแต่น้อยในลูกอม ซึ่งแม้กฎหมายไม่ได้กำหนดแต่เราก็ใส่ไว้ นั่นเป็นเพราะเราจริงใจในทุกการสื่อสารกับผู้บริโภค”
แลนด์สเคปที่เปลี่ยนไป
การแจ้งเกิดของ Playmore ถือว่าเกิดขึ้นในจังหวะที่แลนด์สเคปของการตลาดในบ้านเราเปลี่ยนแปลงไปพอดี เพราะการเกิดขึ้นของสื่ออย่างโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้เล่นรายเล็กๆ ไม่ต้องกังวลถึงการเตรียมงบการตลาดจำนวนมากเพื่อผลักดันให้แบรนด์เข้าไปเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคเหมือนในอดีต
แต่หากใช้กลยุทธ์การตลาดที่แตกต่าง และสร้างสรรค์ในโลกออนไลน์ให้ดี จนเกิดกระแสการบอกต่อ และกลาย เป็นไวรัล เรื่องของสปีด จึงกลายมาเป็นหัวใจสำคัญที่แบรนด์เล็กๆ จะคล่องตัว และทำอะไรได้เร็วกว่า
สิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำตลาดของรายเล็กก็คือ การทรงอิทธิพลขึ้นมาของเชนคอนวีเนียนสโตร์อย่างเซเว่น อีเลฟเว่นที่ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 12,000 สาขา สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในวงกว้างและลึก แม้จะไม่เท่ากับช่องทางขายผ่านร้านค้าดั้งเดิม แต่สำหรับรายเล็กแล้ว การโฟกัสในเรื่องของช่องทางขายถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในการทำตลาด เพราะไม่ต้องไปกังวลในเรื่องของการสร้าง “เซลส์ฟอร์ซ” และการสร้างแบรนด์รวมถึงโปรโมชั่นแบบแมส เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
ข้อดีอย่างหนึ่งของการจับมือกับเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อเข้าไปเป็นสินค้าที่วางขายเฉพาะในร้านของเซเว่น อีเลฟเว่น หรือ “Only At 7 – Eleven” แม้จะมีต้นทุนในการขายเพิ่มขึ้น แต่หากมีการทำการตลาดที่สามารถสร้างกระแสให้แบรนด์ได้ดี ก็จะสามารถทำให้สินค้าติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว เพราะเครือข่ายของเซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมจะผลักดันสินค้า หากตลาดมีความต้องการ
แนวทางนี้ถือเป็นเทรนด์การทำตลาดของผู้ประกอบการที่เป็นเอสเอ็มอี หรือบรรดาฟู้ดสตาร์ทอัพทั้งหลายที่มีไอเดีย และนวัตกรรมที่ดีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และพร้อมที่จะเข้าไปจับมือร่วมกับเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อเข้ามาเสริมจุด อ่อนในเรื่องของการมีงบการตลาดไม่มากนัก เพียงแต่พร้อมที่จะยอมมีต้นทุนในการขายเพิ่มขึ้น
“ความท้าทายของเราก็คือการร่วมมือกับ Strategic Partner คือเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีช่องทางการจำหน่ายที่เข้าถึงในวงกว้าง แต่อย่าลืมว่ามีสินค้ามากมายแล้วเราจะสร้างความโดดเด่นต้องการให้ขนมของเราอยู่บนเชลฟ์ได้อย่างไร เราจะรักษามาตรฐานคุณภาพให้เหนือกว่าที่ตั้งไว้ได้แค่ไหน การตั้งคำถามกับตัวเราแบบนี้เป็นความท้าทายทั้งสิ้นแต่สังเกตนะครับ เราไม่ได้มองว่าเราแข่งกับใคร แต่เราแข่งกับตัวเองตลอดเวลา เรามุ่งมั่นจะโตไปพร้อมกับสินค้าและ Strategic Partner และเราพึงพอใจที่จะเป็นอีกทางเลือกของขนมคุณภาพให้กับผู้บริโภค” จักษ์ ลีละเทพาวรรณ กล่าว
Playmore ก้าวผ่านบททดสอบแรกในตลาดลูกอมของบ้านเราได้สำเร็จแล้ว ก้าวต่อไปจากคำบอกเล่าของจักษ์ ลีละเทพาวรรณน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว เพราะเขาบอกว่า ในระยะยาว Playmore ตั้งเป้าจะเป็นแบรนด์ขนมระดับ World Class Thai Brand ที่ให้คนไทยรู้สึกภูมิใจ ผ่านกลยุทธ์ร่วมกันพัฒนากับ Stratigic Partner ปรับเปลี่ยนพัฒนาการบริหารจัดการภายในองค์กร และการวางระบบที่ดีทั้งหมดของ Value Chain ให้สามารถทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อมอบความสุข ความสนุก ความสร้างสรรค์ ให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
อ่านบทความต้นฉบับที่ > http://www.brandage.com/article/15212/Playmore http://www.brandage.com/article/15212/Playmore
“ลูกอมแตงโม” พูดชื่อนี้แล้วอาจไม่คุ้น แต่ลูกอมนี้เป็นสินค้ายอดฮิตใน 7-Eleven
ลูกอมนี้จะอยู่ในซอง หรือขวดสีแดงหน้าตาโดดเด่น ซึ่งดูเหมือนผลิตภัณฑ์นี้กำลังยิ้มให้เราอยู่
ลูกอมนี้เป็นลูกอมกลิ่นแตงโม ชื่อว่า Playmore (เพลย์มอร์)
ซึ่งตอนนี้เป็นลูกอมยอดนิยมในกลุ่มเด็ก และวัยรุ่น ลูกอมนี้มีเรื่องราวน่าสนใจอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลูกอมกลิ่นแตงโม แบรนด์ Playmore มีเจ้าของคือ บริษัท เอเวอร์มอร์ จำกัด
บริษัทนี้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวหลากหลายประเภท เช่น เยลลี, กัมมี, ช็อกโกแลต
บิสกิต, ลูกอม จากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น
โดยจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Playmore เกิดขึ้นจากการที่คุณจักษ์ ลีละเทพาวรรณ ผู้บริหารของบริษัท
อยากจะสร้างแบรนด์ขนมที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกสนุก
ดังนั้นสินค้าจึงถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ และบรรจุภัณฑ์แปลกตา
แต่หนึ่งในสินค้าที่ฮิตที่สุดก็คือ ลูกอมกลิ่นแตงโม เพราะมีกลิ่นหอม เมื่อทานแล้วทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น
จึงเป็นเหตุให้ครองใจกลุ่มเด็กและวัยรุ่น จนบางคนถึงขั้นเสพติด..
รายได้และกำไรของ บริษัท เอเวอร์มอร์ จำกัด
ปี 2558 มีรายได้ 34 ล้านบาท กำไร 2.0 ล้านบาท
ปี 2559 มีรายได้ 109 ล้านบาท กำไร 13.9 ล้านบาท
ปี 2560 มีรายได้ 171 ล้านบาท กำไร 19.5 ล้านบาท
จะเห็นว่าบริษัทมีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เปิดบริษัทมาไม่กี่ปีก็มีรายได้เป็นร้อยล้านบาท..
จริงๆ แล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญส่วนหนึ่งก็มาจากสินค้าได้การยอมรับ
ให้ขึ้นเชลฟ์ของ 7-Eleven ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมาก
ดังนั้นพอสรุปได้ว่า นอกจากตัวสินค้าที่โดดเด่นแล้ว หากมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ดี
ก็จะเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
จากที่อ่านมาก็ดูเหมือนฟ้าเป็นใจทุกอย่างให้กับลูกอมนี้
แต่โลกของธุรกิจนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป..
ต้นปี 2562 มีข่าวว่าเด็กรายหนึ่ง เกิดอาการปวดท้องและอาเจียน
หลังจากทานลูกอมแตงโมนี้ไปเพียงแค่ 5 ชั่วโมง จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลอย่างรุนแรง
เกี่ยวกับความปลอดภัยต่อสุขภาพของผลิตภัณฑ์นี้
โดยหลายคนต่างสงสัยว่า สาเหตุมาจากหนึ่งในส่วนผสมของลูกอม คือ สารซอร์บิทอล
ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล โดยส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ
ต่อมาบริษัทก็ออกมาชี้แจงว่า ซอร์บิทอล เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของลูกอมชื่อดังหลายยี่ห้อทั่วโลก
เป็นสารที่ได้รับการยอมรับจาก อย. ทุกประเทศ และไม่มีรายงานว่าก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคแต่อย่างใด
จริงๆ แล้ว สารซอร์บิทอล เป็นสารที่ปลอดภัย นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร
แต่ถ้ารับประทานมากเกินไป ก็อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้กับเด็กบางราย
จึงไม่ควรบริโภคเกิน 50 กรัมต่อวัน ดังนั้นเราควรกินลูกอมนี้แต่พอเหมาะ โดยเฉพาะวัยเด็ก
ซึ่งตัวสินค้าเองก็มีคำเตือนแปะอยู่ข้างหลังว่า “เด็กควรบริโภคแต่น้อย”
เวลาต่อมา ข่าวนี้เริ่มเลือนลาง แต่ความนิยมลูกอมแตงโมนี้ ไม่ได้จางหายไป..
ยังคงขายดี และเป็นที่นิยมกันอยู่ในหมู่เด็กวัยรุ่น
เรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไรกับเราว่า
ในโลกธุรกิจทุกวันนี้ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การสร้างผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและแตกต่างนั้น
คือ ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค
ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาสร้างอย่างยาวนาน แต่สามารถพังทลายในชั่วพริบตา
ถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบ ในกรณีดังกล่าว ถ้าลูกอมใช้สารที่เป็นอันตรายจริง
ก็คงยากที่จะเรียกความนิยมกลับมาได้อีกเหมือนเครื่องสำอาง หรือ ครีมต่างๆ ที่เป็นข่าวในช่วงก่อนหน้านี้
แต่ลูกอม Playmore นั้น ใช้สารซอร์บิทอลที่ อย. รับรอง ก็ทำให้ยังรักษาความนิยมได้
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ Playmore ไม่ได้มีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตนเอง
แต่ใช้วิธี outsource โรงงานที่มีความถนัดแตกต่างกันถึง 19 แห่ง
References
– https://en.wikipedia.org/wiki/Sorbitol
– http://www.nutrientsreview.com/carbs/sugar-alcohols-sorbitol.html
– https://bit.ly/2wDiEEy
– กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
อ่านบทความต้นฉบับได้ที่ > https://www.longtunman.com/15721
จบไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยสำหรับวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2563 ที่ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563
ซึ่งเพลย์มอร์ได้ร่วมจัดบูธให้ความสนุกกับน้อง ๆ หนู ๆ ในงาน “Wonder kids Thailand” ที่จัดขึ้นโดย บมจ.อสมท.
ระหว่างวันที่ 10-12 มกราคม 2563 ณ ชั้น 3 ไอส์แลนด์ฮอลล์ ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ ให้เด็ก ๆ ได้สนุกกับกิจกรรม
❤ บ่อบอลหรรษา
❤ ระบายสีหน้ากากทำมือ
❤ แชะรูปกับน้องแตงโมยักษ์ พร้อมรับของที่ระลึกและขนมเพลย์มอร์ 🤩
บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสดใสของน้อง ๆ หนู ๆ ที่มาร่วมสนุกภายในบูธ
พร้อมตื่นตาาตื่นใจกับพาเหรดน้องแตงโมที่ยกขบวนมาโชว์ตัวกว่า 10 ตัว งานนี้เรียกได้ว่าฟินทั้งเด็กและผู้ปกครองเลยทีเดียว !